เมื่อพูดถึงเกม FPS เชื่อว่าทุกคนคงย่อมมีแผนที่ในดวงใจที่ผุดขึ้นมาในหัวแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นแมพที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้น หรือแมพที่เคยสร้างความทรงจำร่วมกับเพื่อน ๆ หรือแม้แต่แมพที่มีการแข่งขันในสนาม E-Sports ทุกแผนที่ล้วนมีเอกลักษณ์และสไตล์ที่ทำให้ผู้เล่นไม่เคยลืม วันนี้เราเลยขอรวบรวม 15 แผนที่ Multiplayer ในเกม FPS ที่ถือเป็นตำนาน เพื่อมาเรียกความทรงจำให้กับทุกคน พร้อมเจาะลึกถึงการออกแบบ ความโดดเด่น และสิ่งที่ทำให้แผนที่เหล่านี้คงอยู่ในใจผู้เล่นมายาวนาน

สารบัญ
ทำไมบางแผนที่ถึงครองใจแฟน FPS Multiplayer
ความชอบของผู้เล่น FPS มัลติเพลเยอร์นั้นหลากหลาย ขึ้นอยู่กับสไตล์การเล่นของแต่ละคน แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้แผนที่บางฉากกลายเป็น “แผนที่ในดวงใจ” มาดูกัน

1. จังหวะการเล่นและความไหลลื่น บางคนชอบแผนที่ที่ใส่กันไม่ยั้ง อย่าง Shipment ใน Call of Duty ที่แอ็คชันมาแบบรวดเร็วทันใจ ขณะที่อีกกลุ่มอาจชอบแบบที่ต้องวางแผนและใช้กลยุทธ์ เช่น de_inferno ใน CS:GO ซึ่งเต็มไปด้วยจุดยุทธศาสตร์ที่ต้องคิดให้รอบคอบ
2. ความซับซ้อนที่ไม่ซับซ้อนเกินไป แผนที่ดีมักเรียนรู้ง่ายแต่เล่นได้นาน เพราะมีหลายวิธีให้สร้างกลยุทธ์ เช่น 2Fort จาก Team Fortress 2 ที่แม้จะเข้าใจได้เร็ว แต่ก็มีความลึกในการเล่นให้ค้นหาเสมอ
3. สมดุลและความยุติธรรม ไม่มีใครชอบแผนที่ที่อีกฝั่งได้เปรียบตั้งแต่เริ่ม แผนที่ที่ออกแบบให้เท่าเทียมกันทั้งสองฝ่าย เช่น Lockout จาก Halo มักได้รับคำชมเรื่องความแฟร์และให้โอกาสเล่นที่เท่ากันทุกจุด
4. บรรยากาศและดีไซน์ บางครั้ง ความงามของแผนที่ก็ทำให้ประสบการณ์การเล่นสนุกขึ้นอย่างคาดไม่ถึง เช่น King’s Row ใน Overwatch ที่เต็มไปด้วยดีเทลและบรรยากาศอันน่าจดจำ
5. ความเหมาะสมกับโหมดเกม แผนที่ที่ออกแบบมาให้รองรับโหมดเกมโดยเฉพาะ จะช่วยยกระดับความสนุก เช่น de_dust ใน Counter-Strike ที่เหมาะกับทั้งโหมดวางระเบิดและยิงกันตรง ๆ แบบคลาสสิก
คุณสมบัติที่ทำให้แผนที่ Multiplayer น่าสนใจ

1. การโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อม แผนที่บางที่มีสิ่งที่ผู้เล่นสามารถโต้ตอบได้ เช่น Ascent ใน Valorant ที่มีประตูที่สามารถเปิดหรือปิดได้ ซึ่งทำให้การเล่นน่าสนุกและตื่นเต้น
2. จุดได้เปรียบที่สูง แผนที่ที่มีระดับความสูงสามารถสร้างความท้าทายได้มากขึ้น เช่น Nuke ใน CS:GO ที่ผู้เล่นสามารถใช้ความสูงในการยิงและป้องกันได้อย่างได้เปรียบ
3. ออกแบบไม่สมมาตร บางแผนที่มีการออกแบบที่ไม่สมมาตร เพื่อสร้างความท้าทาย เช่น Haven ใน CS:GO ที่มีจุดวางระเบิดสามจุด ทำให้การโจมตีและป้องกันไม่เหมือนแผนที่อื่นๆ
4. บูรณาการยานพาหนะ ในบางแผนที่อย่าง Battlefield การมียานพาหนะทำให้การเล่นมีความหลากหลายและตื่นเต้นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถถังหรือเครื่องบินที่ช่วยให้การต่อสู้ดูสมจริง
5. กลไกที่เป็นเอกลักษณ์ แผนที่บางแห่งมีฟีเจอร์พิเศษที่ทำให้เกมแตกต่าง เช่นใน Bind ของ Valorant ที่มีเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสาร หรือความสามารถพิเศษของตัวละครที่จะเปลี่ยนแปลงการเล่นได้
15 แผนที่ Multiplayer ในเกม FPS ยอดนิยม
1. Dust II – Counter-Strike
หากพูดถึง Counter-Strike คงไม่มีใครไม่รู้จัก Dust II แมพนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเกมยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่งไปแล้ว ตั้งแต่ภาค 1.6 จนถึง Global Offensive ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง “CT Spawn” หรือ “T Spawn” ที่มีการเดินทางที่ชัดเจนและไม่ซับซ้อน ความโดดเด่นอยู่ที่ความบาลานซ์ระหว่างการโจมตีและการป้องกัน รวมถึงการใช้ระเบิดต่างๆ เพื่อขัดขวางการเคลื่อนที่ของศัตรู จุดที่ผู้เล่นจำได้ดีที่สุดคงเป็นการควบคุมจุด A และ B ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในทุกเกม
จุดเด่นของแผนที่ Dust II
- สมดุลระหว่างการโจมตีและการป้องกัน: แมพนี้มีเส้นทางที่ชัดเจนทั้งการบุกและการป้องกัน ทำให้เหมาะกับการใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันในแต่ละทีม
- Banana และ A Site: จุดสำคัญของเกมมักจะอยู่ที่การควบคุมพื้นที่ Banana และการบุกไปยัง A Site ที่ต้องใช้ทักษะและกลยุทธ์ในการวางระเบิด
- การใช้ระเบิด: การใช้ flashbang หรือ smoke grenades เพื่อปิดบังมุมมองและขัดขวางการเคลื่อนไหวของศัตรูคือกุญแจสำคัญในแผนที่นี้
2. Nuketown – Call of Duty: Black Ops
Nuketown คือสนามรบที่เรียกได้ว่า “เกินความคาดหมาย” ด้วยขนาดเล็กแต่เต็มไปด้วยการต่อสู้ที่วุ่นวาย รวดเร็ว และไม่เคยหยุดแม้แต่วินาทีเดียว ทุกการยิงใน Nuketown คือการต่อสู้ที่สมจริง ความวุ่นวายของการรีสปอว์นและการสู้กันในระยะใกล้ทำให้ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ เกมนี้มันส์ทุกวินาที
จุดเด่นของแผนที่ Nuketown
- ขนาดเล็กและเต็มไปด้วยความวุ่นวาย: นี่คือแผนที่ที่ทุกการเคลื่อนไหวมีผลทันที ทุกคนต้องเคลื่อนไหวเร็วและระวังศัตรูจากทุกทิศทาง
- การใช้ปืนระยะใกล้: ด้วยขนาดของแผนที่ที่เล็ก ทุกการยิงมักจะเกิดขึ้นในระยะใกล้ ทำให้ปืนที่เหมาะสมคือ shotgun หรือ submachine gun
- รีสปอว์นเร็ว: การที่เกมสามารถรีสปอว์นได้เร็วทำให้การต่อสู้ใน Nuketown เกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่มีการหยุดพัก
3. Blood Gulch – Halo: Combat Evolved
Blood Gulch ไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในแผนที่ที่ทำให้ Halo กลายเป็นเกมที่ยอดเยี่ยม แต่มันยังถือเป็นต้นแบบของแผนที่ในเกม FPS บนคอนโซลอีกด้วย จุดเด่นของ Blood Gulch คือการใช้ที่โล่งๆ เป็นพื้นที่การต่อสู้ที่เหมาะกับการใช้ยานพาหนะอย่าง Warthog ซึ่งทำให้การเล่นมีความแตกต่างจากเกม FPS ทั่วไป
จุดเด่นของแผนที่ Blood Gulch
- การใช้งานยานพาหนะ: จุดเด่นของแผนที่นี้คือการใช้ Warthog ซึ่งเป็นรถที่ช่วยให้การเคลื่อนไหวและการโจมตีมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ที่โล่งและเป็นกลาง: การต่อสู้ในพื้นที่โล่งที่ไม่มีอุปสรรคมากมายทำให้ทุกการเคลื่อนไหวต้องระมัดระวังอย่างสูง
- การควบคุมจุดสำคัญ: การจับจุดสำคัญและการใช้ยานพาหนะเป็นกลยุทธ์สำคัญในการคว้าชัยชนะ
4. de_inferno – Counter-Strike Series
Inferno คือแผนที่ที่มีเส้นทางหลากหลายและเต็มไปด้วยจุดซุ่ม จุดเด่นของแผนที่นี้คือการที่มีพื้นที่ที่ต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบทั้งในเชิงการโจมตีและการป้องกัน รวมถึง “Banana” ที่เป็นที่ชุมนุมของการต่อสู้ที่แทบจะเป็นหัวใจหลักของเกมนี้เลยก็ว่าได้
จุดเด่นของแผนที่ de_inferno
- หลายเส้นทางและจุดซุ่ม: แผนที่นี้มีหลากหลายเส้นทางให้เลือกใช้ทั้งในเชิงการโจมตีและการป้องกัน รวมถึงการใช้จุดซุ่มที่คุ้นเคย
- Banana – จุดสำคัญของการต่อสู้: การควบคุม Banana ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการเข้าฝ่าย B Site เป็นจุดสำคัญที่ทีมต้องมีการประสานงานกันอย่างดี
- จุดบีและเอที่ซับซ้อน: การป้องกันจากทั้ง A และ B site ต้องมีการวางแผนอย่างดีในการป้องกันหรือโจมตี
5. Shipment – Call of Duty: Modern Warfare
Shipment คือสนามรบที่มอบการต่อสู้ที่รวดเร็วและบ้าคลั่งที่สุดใน Call of Duty ด้วยขนาดที่เล็กสุด ๆ ผู้เล่นสามารถพบศัตรูได้ทุกมุม แมพนี้เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของการเล่น CoD ที่ไม่มีวันหยุดแม้แต่เสี้ยววินาที
จุดเด่นของแผนที่ Shipment
- ขนาดเล็กและการรีสปอว์นที่เร็ว: การที่แผนที่มีขนาดเล็กทำให้การรีสปอว์นเร็วมาก ส่งผลให้การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- การต่อสู้ที่ไม่หยุดพัก: ทุกมุมของแผนที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ระยะใกล้และการใช้ SMG หรือ shotguns ในการต่อสู้
- อุปสรรคคือศัตรู: ไม่มีที่หลบซ่อนมากมาย ดังนั้นการเคลื่อนไหวและการใช้ flashbang จึงเป็นสิ่งสำคัญในการเอาตัวรอด
6. Facing Worlds – Unreal Tournament
Facing Worlds จาก Unreal Tournament ถือเป็นแผนที่ Capture the Flag (CTF) ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด นอกจากบรรยากาศที่แปลกใหม่แล้ว การเล่นในพื้นที่ที่เปิดโล่งด้วยสะพานที่เชื่อมไปยังฐานต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ทำให้การเล่นแต่ละรอบเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และเป็นสนามที่ท้าทายทั้งในด้านการใช้กลยุทธ์และความแม่นยำ
จุดเด่นของแผนที่ Facing Worlds
- โครงสร้างแบบ 2 ชั้น: มีพื้นที่หลักที่เปิดกว้างพร้อมทั้งสะพานเชื่อมไปยังอีกฝั่ง ทำให้การใช้กลยุทธ์ในการเคลื่อนที่มีความสำคัญ
- การเล่น Capture the Flag (CTF): มีรูปแบบการเล่น CTF ซึ่งต้องใช้ทักษะในการซุ่มโจมตีและการทำลายแผนการของฝ่ายตรงข้าม
- การใช้ความเร็วและความแม่นยำ: แผนที่นี้ต้องการผู้เล่นที่มีการตอบสนองเร็วและการยิงที่แม่นยำในขณะที่ใช้ rocket launcher หรือ shock rifle
7. Rust – Call of Duty: Modern Warfare 2
Rust คือแผนที่ที่เต็มไปด้วยความรวดเร็วและวุ่นวาย จุดเด่นของมันคือขนาดเล็กที่ทำให้การต่อสู้เกิดขึ้นทันทีตั้งแต่เริ่มเกม ไม่ว่าจะเป็น 1v1 หรือการยิงแบบทีม ทุกคนต้องมีความเร็วและการวางแผนเพื่อเก็บชัยชนะที่รออยู่
จุดเด่นของแผนที่ Rust
- ขนาดเล็กและรวดเร็ว: ทุกการต่อสู้ใน Rust เกิดขึ้นในขนาดพื้นที่ที่เล็กและรวดเร็ว
- พื้นที่สูงและแนวตั้ง: การปีนขึ้นไปบนอาคารและการใช้พื้นที่สูงทำให้การเล่นมีความหลากหลาย
- ทุกการเคลื่อนไหวมีผลทันที: ไม่มีเวลาให้หยุดพัก ทุกการเคลื่อนไหวของศัตรูจะเกิดขึ้นในระยะใกล้
8. Lockout – Halo 2
Lockout ใน Halo 2 เป็นหนึ่งในแผนที่ที่มีการออกแบบที่ลงตัวสุด ๆ ด้วยโครงสร้างที่เปิดกว้างและการใช้อาคารหลากหลายชั้นทำให้การเล่นมีหลายทางเลือก ทั้งการป้องกันจากที่สูงหรือการเข้าปะทะจากทุกทิศทาง การเลือกใช้แผนที่นี้ในรูปแบบ Slayer หรือ Capture the Flag ก็ให้ความสนุกที่แตกต่างกัน
จุดเด่นของแผนที่ Lockout
- แผนที่หลายชั้น: การมีหลายชั้นในการเล่นทำให้ผู้เล่นสามารถเลือกใช้กลยุทธ์ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน
- พื้นที่เปิดและการเคลื่อนที่ที่ท้าทาย: บริเวณพื้นที่เปิดทำให้การเคลื่อนไหวต้องใช้ความระมัดระวัง
- การใช้ Sniper Rifle ในการยิงระยะไกล: การควบคุมพื้นที่สูงและการใช้ Sniper Rifle ให้เกิดประโยชน์สูงสุดคือสิ่งสำคัญ
9. Crash – Call of Duty 4: Modern Warfare
Crash เป็นแผนที่ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างสมบูรณ์สำหรับการต่อสู้ในเมืองร้าง ที่เต็มไปด้วยอาคารพังและจุดซุ่มมากมาย การเคลื่อนที่ระหว่างอาคารต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่ก็เพิ่มความมันส์ในการเล่นให้มากขึ้น เกมนี้จะไม่เหมือนเดิมหากไม่มี Crash
จุดเด่นของแผนที่ Crash
- การใช้พื้นที่ในเมือง: แผนที่นี้เต็มไปด้วยซากอาคารที่ทำให้การซุ่มยิงและการใช้ cover สำคัญมาก
- การเล่นในพื้นที่แคบ: พื้นที่ในเมืองที่มีซอยแคบๆ ทำให้ต้องใช้ความเร็วในการเคลื่อนที่
- การต่อสู้ในระยะใกล้: ด้วยอาคารที่มากมาย การยิงระยะใกล้คือสิ่งสำคัญในการเอาชนะฝ่ายตรงข้าม
10. Highrise – Call of Duty: Modern Warfare 2
Highrise เป็นแผนที่ที่ให้ความรู้สึกของการต่อสู้บนตึกสูงกลางเมือง จุดเด่นของมันคือความสามารถในการใช้สิ่งแวดล้อมในเชิงกลยุทธ์ เช่น การปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่อยิงระยะไกลหรือการใช้จุดซุ่มที่แคบๆ ในพื้นที่เปิดกว้าง
จุดเด่นของแผนที่ Highrise
- การใช้พื้นที่สูง: แผนที่นี้มีพื้นที่สูงที่ช่วยให้การยิงระยะไกลได้เปรียบ
- การควบคุม elevator และ rooftop: การควบคุม rooftop หรือพื้นที่สูงช่วยให้ผู้เล่นได้เปรียบในมุมมอง
- การใช้ AC-130: มีการใช้ killstreaks ที่ช่วยให้สามารถควบคุมพื้นที่ทั้งแผนที่
11. Dust I – Counter-Strike
แม้ว่าจะไม่ดังเท่ากับ Dust II แต่ Dust I ก็มีบทบาทสำคัญในโลก Counter-Strike ด้วยโครงสร้างการออกแบบที่เป็นต้นแบบให้กับหลาย ๆ แผนที่ในซีรีส์นี้ โดยเฉพาะเส้นทางการบุกที่สามารถใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ ทั้งการทำลายระเบิดหรือการวางแผนการเคลื่อนไหว
จุดเด่นของแผนที่ Dust I
- ต้นแบบการออกแบบ: Dust I เป็นแผนที่ต้นแบบที่ทำให้มีการพัฒนาแผนที่หลายๆ ตัวใน Counter-Strike
- เส้นทางบุกและการป้องกันที่ชัดเจน: จุดเด่นของมันคือเส้นทางการบุกและการป้องกันที่สมดุลกัน
- พื้นที่คับแคบและการต่อสู้ระยะใกล้: การต่อสู้ในพื้นที่ที่คับแคบทำให้การยิงระยะใกล้มีความสำคัญ
12. Metro – Battlefield 3
Metro ใน Battlefield 3 เป็นแผนที่ที่ท้าทายทั้งในด้านการปะทะในพื้นที่แคบและการใช้ยุทธวิธีของทีม เนื่องจากพื้นที่ภายในสถานีรถไฟใต้ดินจำกัดและเต็มไปด้วยมุมซุ่มมากมาย ทำให้การเคลื่อนที่ของทหารแต่ละฝ่ายต้องมีการวางแผนและประสานงานอย่างดี
จุดเด่นของแผนที่ Metro
- พื้นที่ในเมืองที่แออัด: แผนที่นี้ให้ความรู้สึกเหมือนการต่อสู้ในพื้นที่แออัดของเมือง
- การต่อสู้ในสถานีใต้ดิน: ภายในสถานีใต้ดินเต็มไปด้วยอุปสรรคและจุดซุ่ม
- การประสานงานระหว่างทีม: ต้องใช้การวางแผนกลยุทธ์ร่วมกับเพื่อนทีมเพื่อคว้าชัยชนะ
13. Overgrown – Call of Duty 4: Modern Warfare
Overgrown คือสนามรบในชนบทที่มีต้นไม้และซากปรักหักพัง สถานที่นี้ทำให้การใช้กลยุทธ์ในการซุ่มยิงมีความสำคัญมาก ความหลากหลายของพื้นที่ทำให้ผู้เล่นต้องใช้ทักษะการเคลื่อนที่และการใช้อาวุธอย่างชาญฉลาด
จุดเด่นของแผนที่ Overgrown
- การเคลื่อนที่ในพื้นที่เปิด: มีพื้นที่เปิดกว้างที่เต็มไปด้วยพืชและซากปรักหักพัง
- การซุ่มยิงจากที่สูง: การใช้พื้นที่สูงเพื่อซุ่มยิงเป็นกลยุทธ์หลักในการคว้าชัย
- การใช้ปืนระยะยาว: Sniper Rifle คืออาวุธที่เหมาะสมในการต่อสู้ระยะไกล
14. 2Fort – Team Fortress 2
2Fort คือหนึ่งในแผนที่ที่ได้รับความนิยมใน Team Fortress 2 ที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ของ 2 ทีมในการป้องกันและโจมตีฐานฝ่ายตรงข้าม จุดเด่นของมันคือนอกจากความคลาสสิกแล้วยังสามารถสร้างความสัมพันธ์และความสนุกระหว่างผู้เล่นในแต่ละแมตช์
จุดเด่นของแผนที่ 2Fort
- จุดสำคัญในการเล่น CTF: 2Fort เป็นแผนที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโหมด Capture the Flag (CTF)
- การป้องกันที่ซับซ้อน: การป้องกันฐานจากศัตรูที่มีการใช้ sentries และ dispenser เพิ่มความสนุกในการเล่น
- การวางแผนระยะยาว: การใช้กลยุทธ์และการวางแผนระยะยาวทำให้เกมนี้มีความท้าทายในการแข่งขัน
15. King’s Row – Overwatch
King’s Row ใน Overwatch เป็นแผนที่ที่ได้รับการยอมรับในด้านการออกแบบอย่างสมดุลและบรรยากาศที่น่าหลงใหล การเดินทางในเมืองลอนดอนยามค่ำคืนพร้อมการควบคุมแผนที่ต่าง ๆ ทำให้การเล่นแต่ละแมตช์เต็มไปด้วยกลยุทธ์ที่ต้องการความร่วมมือระหว่างทีม
จุดเด่นของแผนที่ King’s Row
- การใช้ยุทธวิธีในการบุก: การบุกจากจุดที่แคบและสามารถควบคุมพื้นที่ได้ดี
- พื้นที่และการออกแบบในเมือง: King’s Row ได้รับการออกแบบให้ผู้เล่นสามารถใช้พื้นที่ในเมืองเพื่อสร้างกลยุทธ์
- การร่วมมือของทีม: การเล่นต้องอาศัยความร่วมมือของทีมในการทำภารกิจให้สำเร็จ
แผนที่ Multiplayer ที่ได้รับความนิยมในเกม FPS ไม่ใช่แค่แผนที่ที่ดูดี แต่ยังต้องทำให้การเล่นสนุก มีความท้าทาย และรองรับสไตล์การเล่นที่หลากหลายจากผู้เล่นทุกคน การออกแบบที่ดีจะทำให้แผนที่กลายเป็นตำนานที่ผู้เล่นทุกคนยังคงสนุกกับการเล่นอยู่เสมอ!