ปัจจุบันเกมใหม่ๆที่เกาะกระแสเกม Battle Royale พยายามนำเสนอจุดเด่นสร้างความแตกต่างจากเกม PUBG ตัวอย่างความสำเร็จของเกม Fortnite Battle Royale ที่มีระบบ Building เป็นจุดขายพร้อมภาพกราฟฟิกแบบตัวการ์ตูน หรือเกมที่เปิดตัวเมื่อเร็วๆนี้อย่าง Battlerite Royale ต่อยอดความสำเร็จจากเกมแนว MOBA นำเสนอเกมเพลย์ด้วยมุมมองจากบนลงล่างให้ประสบการณ์ไปอีกแบบ
เช่นเดียวกับเกม Realm Royale เปิดตัวได้อย่างร้อนแรงในเดือนมิถุนายนกับยอดผู้เล่นออนไลน์พร้อมกันมากกว่า 1 แสนคน ด้วยจุดเด่นของระบบคลาสทำให้ตัวเกมมีความแตกต่างจากเกมแนว Battle Royale ทั่วไป แต่จากการอัปเดตแพทช์ใหม่ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผู้พัฒนา Hi-Rez และ Heroic Leap Games ตัดสินใจถอดระบบ Classes ออกจากเกม หลังมีข้อเสนอแนะจำนวนไม่น้อยจากผู้เล่นเรื่องความไม่สมดุลส่งผลกระทบต่อผู้เล่นหน้าใหม่
อย่างที่รู้ระบบ Class ในเกม Realm Royale ถือเป็นจุดขายที่สร้างความโดดเด่นได้อย่างมากมีให้เลือกถึง 5 คลาสหลัก Warrior, Engineer, Assassin, Mage และ Hunter พร้อมความสามารถพิเศษแตกต่างกัน เมื่อระบบคลาสถูกนำออกทุกคลาสจะมีสถานะเป็นแค่ตัวละครเปล่าๆ จากรายละเอียดการอัปเดตแพทช์ล่าสุดระบุไว้ว่า “คลาสทั้งหมดถูกยกเลิก ตัวละครเลือกใช้งานสกิลได้เพียง 2 สกิล ยกเลิกอาวุธประจำคลาส ทุกตัวละครเลือกใช้อาวุธได้อย่างอิสระ”
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้เล่นขาประจำหลายคนและขยายวงกว้างไปยังชุมชนเกม ส่งผลกระทบต่อคะแนนรีวิวและบทวิจารณ์ครั้งล่าสุดอยู่ในแง่ลบเป็นส่วนมากถึง 61% และเชิงบวกแค่ 32% ขณะเดียวกันการติดตามสถิติของ SteamCharts ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ยอดผู้เล่นเกม Realm Royale ลดลงมากถึง 60% เหลือผู้เล่นเฉลี่ย 1,000 – 2,000 คนต่อวัน ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนความผิดพลาดขั้นร้ายแรงของผู้พัฒนาที่ต้องรับแก้ไขโดยด่วน
ต้องบอกว่าจุดกำเนิดของเกม Realm Royale เกิดขึ้นจากความนิยมของแนวเกม Battle Royale อย่าง PUBG และ Fortnite การเปิดให้บริการในช่วงสองเดือนแรกกระแสตอบรับค่อนข้างดีมากและมีข้อเสนอแนะจากผู้เล่นมากมาย เนื่องจากตัวเกมยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา แต่เปิดให้เข้าเล่นได้ก่อนแบบ Early Access ทุกครั้งที่มีการอัปเดตแพทช์หรือเปลี่ยนแปลงระบบภายในเกม บางครั้งฟีเจอร์เด่นที่เป็นจุดขายของเกมก็ถอดออกไปดื้อๆ พอผู้เล่นโวยวายก็ใส่กลับเข้ามาใหม่ราวกับผู้พัฒนาหาแนวทางของตัวเองยังไม่เจอ
