ถ้าคุณเบื่อเกมสยองขวัญที่ต้องถือปืนไล่ยิงผี แล้วอยากเปลี่ยนมาเจอความหลอนแบบค่อยๆ เดินไปกลัวไป จิตตกทุกก้าว เกมแนว Walking Simulator Horror คือคำตอบ ในบทความนี้เรารวมมาให้แล้วกับ 10 เกมสยองขวัญแนว Walking Simulator ที่เล่นแล้วหลอนยันจบ ทั้งแบบหลอนเชิงจิต บีบอารมณ์ ไปจนถึงแนวปรัชญาเล่นจบแล้วนั่งเหม่อ บอกเลยว่าแต่ละเกมมีของดีคนละแบบ เหมาะกับคนที่ชอบ “หลอนแบบไม่ต้องสู้ แค่เดินก็พอแล้ว”
The Midnight Walk

หนึ่งในความยากที่สุดของเกม VR คือการสร้างอะไรบางอย่างที่ “สมจริงจนผู้เล่นอินไปกับเรื่องราว” ซึ่งพูดง่ายแต่ทำยากมาก The Midnight Walk กลับทำให้ทุกอย่างดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ ถ้าใครเคยปลื้มหนังอย่าง Coraline มาก่อน บอกเลยว่าเกมนี้ตรงสายสุด ๆ ด้วยการใช้เทคนิค claymation แบบจัดเต็ม พร้อมเล่าเรื่องแบบเฉียบคมและเข้าถึงใจ มันคือ walking simulator แนวสยองขวัญที่ creepy แบบหลอน แถมมีหมัดฮุก jump scare แบบไม่ทันตั้งตัวให้เห็นเพียบ
ยังไม่พอ งานเสียงก็โคตรดี เสียงกับภาพเข้ากันแบบไร้ที่ติ ทำให้ตลอดการเดินทางในเกมคือความรู้สึกที่ทั้งน่ากลัว ทั้งอยากเสียน้ำตาในเวลาเดียวกันอุ้ยแอบสปอย
No One Lives Under the Lighthouse

ช่วงหลังๆ เกมสไตล์สยองขวัญสมัยเครื่อง Playstation 1 กลับมาอีกครั้ง และเหตุผลหลักๆ ที่นำกลับมา ก็คือ “ความหลอนแบบคลาสสิก” ที่เกมแนวนี้ถ่ายทอดออกมาได้ดีกว่าเกมยุคปัจจุบันอีก และเกมอย่าง No One Lives Under the Lighthouse คือหนึ่งในตัวอย่างที่โคตรชัดเจนของเรื่องนี้เลย ตัวเกมไม่ได้ยาวอะไรมาก สามารถเล่นจบโดยใช้เวลาไม่นาน และด้วยความที่มันเป็นแนว walking simulator ผู้เล่นจะได้อินกับเนื้อเรื่องแบบเต็มๆ ซึ่งเกมมีการวางบทที่ดีมาก
ไม่ขอเล่าอะไรเยอะเพราะกลัวสปอยล์ แต่เกมนี้หยิบเอาความสยองแบบ Lovecraft มาเล่าในมุมที่แปลกใหม่จริงๆ แล้วที่เจ๋งคือมันไม่ได้แค่หลอนอย่างเดียว แต่มันแทรกเนื้อหาที่เศร้าแบบบีบใจด้วย ซึ่งงานภาพสไตล์ย้อนยุคก็ช่วยเสริมอารมณ์ได้แบบพอดิบพอดี
The Dark Pictures Anthology: House of Ashes

เกมสยองขวัญที่มีเรื่องราวในธีมตะวันออกกลางนั้นหายากอยู่แล้ว แล้วยิ่งทำเป็น “เกมสยองขวัญ” ด้วย ยิ่งหายากเข้าไปอีก ซึ่ง The Dark Pictures Anthology ถือว่าทำได้ดีในการนำเสนอธีมนี้ โดยเฉพาะภาคที่สาม House of Ashes ที่นำธีมในประเทศอิรัก และหลายคนก็ยกให้เป็นภาคที่ดีที่สุดของซีรีส์นี้เลย
House of Ashes หยิบเอาตำนานโบราณของชาวสุเมเรียนหรือบางที่ก็เรียกว่าชาวอัคคาเดียน มาเล่าในมุมของความสยอง ด้วยปีศาจโบราณตามความเชื่อในวัฒนธรรมตะวันออกกลาง ความกลัวที่เกมมอบให้นั้นไม่ใช่แค่หลอนเฉพาะหน้า แต่มันรู้สึก “เก่าแก่และทรงพลัง” เหมือนเป็นคำสาปจากอดีตกาลที่เล่าผ่านรูปแบบเกม
Outlast

Outlast ไม่ใช่เกมแนวเอาตัวรอดทั่วไป เพราะในเกมนี้คุณ “ไม่มีทางสู้กลับได้” สิ่งเดียวที่จะทำให้รอดคือ “หนี” กับ “ซ่อน” เท่านั้น ซึ่งบางครั้งระบบการเล่นแบบนี้ก็อาจทำให้รู้สึกหงุดหงิดในบางโอกาส แต่สุดท้ายก็เข้าใจได้ เพราะบรรยากาศมันโคตรกดดัน ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นนักข่าวสายสืบสวนที่เลือกทำข่าวเกี่ยวกับโรงพยาบาลบ้า Mount Massive Asylum ที่เอาจริงไม่ควรเข้าไปโดยเด็ดขาด
แต่เมื่อเข้ามาแล้ว จะถอยก็ไม่ได้ มีแค่ทางเดียวคือ “ต้องหนีออกมาให้ได้” ซึ่งบรรยากาศในเกมกดดันแบบสุดๆ ตั้งแต่เสียงบรรยากาศรอบตัวไปจนถึงฉากหลอนแต่ละจุด บอกเลยว่าหัวใจเต้นแรงตลอดเวลา
Ikai

มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ “ความสยองแบบญี่ปุ่น” รู้สึกแตกต่างจากชาติอื่นๆ อาจจะด้วยภาพจำของภาพยนตร์ ทำให้คนเล่นระแวงได้ตลอดเวลา Ikai ก็คือหนึ่งในเกมที่ถ่ายทอดความสยองแบบนี้ออกมาได้ดีมาก ในเกมนี้เราจะได้รับบทเป็น มิโกะ หรือหญิงในศาสนาชินโต ซึ่งหน้าที่ประจำวันก็แค่ดูแลศาลเจ้า ให้สะอาด เรียบร้อย พร้อมต้อนรับแขกที่มาเยือน จนกระทั่งอยู่ดีๆ หน้าที่ใหม่ก็โผล่มาแบบไม่ให้ตั้งตัวก็คือการ “ไล่ผี”
อยู่ๆ ศาลเจ้าก็ถูกเหล่า โยไค หรือ ผีของญี่ปุ่น ก็ปรากฏตัว และมันก็กลายเป็นหน้าที่ของคุณที่จะต้องขับไล่พวกมันออกไปให้ได้ แต่ปัญหาคือ ผีพวกนั้น ก็ไม่ได้อยู่นิ่งๆ มันกำลังตามล่าคุณเหมือนกัน
เกมนี้ถือว่าหลอนมาก ทั้งบรรยากาศ เสียง ความรู้สึกไม่ปลอดภัย และการเผชิญหน้ากับสิ่งลี้ลับในแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ถ้าใครชอบแนวนี้บอกเลยว่าไม่ควรพลาด และที่สำคัญคือ jump scare ในเกมนี้ไม่ได้มาหลอกแบบเยอะเกินจำเป็น มันออกแนว “โล่งใจ” ด้วยซ้ำเวลามันมา เพราะความเงียบก่อนหน้ามันน่ากลัวเกินไป
Layers of Fear

การผสม “ความสวยงาม” เข้ากับ “ความสยอง” ถือเป็นแนวทางที่ไม่ธรรมดาในโลกของเกมสยองขวัญ Horror และ Layers of Fear เกมนี้เป็นเกมเปิดตัวของทีม Bloober Team ก็ทำตรงนี้ออกมาได้อย่างลงตัว
ในเกมนี้คุณจะได้รับบทเป็น “นักวาดรูป” ที่กำลังพยายามสุดชีวิตเพื่อวาดภาพชิ้นเอกของตัวเอง แต่ยิ่งลงลึก ก็ยิ่งกลายเป็นต้นตอของความบ้าที่ตามมา ทุกภาพที่วาด ไม่ใช่แค่ศิลปะ แต่เป็นกระจกสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของคุณทีละชั้น บรรยากาศของเกมเรียกได้ว่า “โคตรหลอน” มันตึงเครียดและน่าขนลุกตั้งแต่ต้นจนจบ ส่วนเนื้อเรื่องก็เข้มข้น มีสีสัน และน่าติดตามแบบที่บางฉากทำให้รู้สึกเหมือนกำลังดูภาพวาดสุดสยองที่ยังไงก็ละสายตาไม่ได้ และเกมนี้มีตอนจบถึง 3 แบบด้วยกัน
SOMA

ถ้าพูดถึง “ความสยองเชิงปรัชญา” หรือ Existential Horror ไม่มีเกมไหนทำออกมาได้ดีกว่าเกมนี้อีกแล้ว SOMA เกมนี้ได้เสียงชื่นชมจากแฟนๆ สายสยองขวัญอย่างมาก แม้ว่าคนเขียนเนื้อเรื่องจะรู้สึกว่ายังไม่พอใจด้วยซ้ำ
ในเกม คุณจะได้รับบทเป็น Simon ที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในสถานีลึกลับกลางมหาสมุทรแอตแลนติก แค่สภาพแวดล้อมก็อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกแล้ว แต่โลกในเกมยังโหดร้ายกว่านั้น ทั้งทางกายภาพและจิตใจ เหมือนพยายามบดขยี้คุณทุกทาง แต่ถึงแบบนั้น คุณก็ยังเดินหน้าต่อไป เพราะ “มันคือสัญชาตญาณของมนุษย์” ที่ไม่ยอมแพ้ต่อความสิ้นหวัง และยิ่งเดินลึกเข้าไป ก็ยิ่งเจอความจริงที่ทั้งน่ากลัวและชวนตั้งคำถามว่า “เราควรรู้จริง ๆ ไหม?”
Still Wakes the Deep

Still Wakes the Deep เป็นหนึ่งในเกมสยองขวัญที่ “เขียนเนื้อเรื่องดีเกินหน้าแนวเกมไปมาก” จนบางครั้งเผลอลืมไปเลยว่านี่คือเกมสยองขวัญแนว Horror จนกระทั่งอะไรบางอย่างโผล่มาทำให้สะดุ้งสุดตัว เพราะ Eldritch Horror ในเกมนี้ซ่อนอยู่แทบทุกมุมของฉาก
คุณจะได้เล่นเป็น Caz McCleary วิศวกรประจำแท่นขุดเจาะน้ำมัน Beira D. ที่อยู่ดีๆ ก็เกิดเหตุประหลาดเกินขึ้นกับตัวเขา โลกความจริงกับภาพหลอนปะปนกันไปหมด จนทุกอย่างกลายเป็นฝันร้ายที่ไม่มีเหตุผล แต่ก็น่ากลัวจนไม่อยากอยู่ เกมนี้หยิบเอาความสยองจากจักรวาลที่ไม่อาจเข้าใจได้ (cosmic horror) มาเล่าได้แบบคมๆ และที่เจ๋งคือเนื้อเรื่องมันไม่ใช่แค่หลอน แต่ยัง “จุกอก” อีกด้วย เล่นแล้วเจ็บลึกๆ เหมือนกำลังดูหนังอยู่เลย
P.T.
ก่อนที่ P.T. จะเปิดตัว เกมแนว walking simulator โดนด่ากันยับว่า “เดินอย่างเดียว มันจะสนุกตรงไหน?” แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้กับ Silent Hill ที่หยิบเกมเพลย์แสนธรรมดาแบบนี้ มาปั่นประสาทคนดูได้แบบไม่คิดว่าจะทำออกมาได้เจ๋งขนาดนี้ สิ่งที่น่าเจ็บใจกว่าคือ เราไม่มีวันได้เห็น Silent Hills ตัวเต็มออกมาสักที ซึ่งการยกเลิกครั้งนั้นก็เล่นเอาชื่อเสียง Konami ที่ยืนไม่ค่อยมั่นอยู่แล้ว พังยับลงไปอีก
แม้ว่า P.T. จะมีเนื้อเรื่องที่คลุมเครือแบบสุดๆ แต่กลับทำให้คนเล่นรู้สึกหลงทางไปไม่ถูก ไม่มั่นใจ และหวาดกลัวทุกครั้งที่ต้องเดินผ่านทางเดินเดิมๆ ที่ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม มันกดดันแบบที่อธิบายไม่ได้ และสร้างบรรยากาศแบบ “ชวนหลอน” ได้แบบไม่มีเกมไหนเทียบติดเลย
Devotion

มีไม่กี่เกมหรอกที่เล่นจบแล้ว “ความรู้สึกยังตามหลอกหลอนในหัว” ไปอีกเป็นอาทิตย์ แต่ Devotion คือหนึ่งในเกมที่หลอนประสาทได้นานมาก ทั้งที่เล่นแค่ครั้งเดียว แต่ยังจำทุกฉากหลอน ทุกรายละเอียดได้ชัดเจน เพราะมันลืมไม่ลงจริงๆ
ในเกมคุณจะได้เล่นเป็นหัวหน้าครอบครัวตระกูล โดยเนื้อเรื่องเกิดขึ้นในอพาร์ตเมนต์ยุค 80s ของไต้หวัน ขณะที่คุณกำลังย้อนนึกถึงอดีต ผ่านมุมมองของลูกสาวตัวเอง คุณจะได้สัมผัสทั้งความหวัง ความกดดัน ความตื่นเต้นของเธอ และที่สำคัญที่สุดคือ “ความพยายามที่จะทำให้ทุกคนพอใจ” ซึ่งความกังวลของเด็กคนนั้น ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นภาพสยองขวัญที่บีบหัวใจ ทั้งน่ากลัว ทั้งเศร้า และเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถตีความได้ง่ายๆ