ปัจจุบันเป็นยุคที่เทคโนโลยี VR ไปไกลมากแล้วและยังเข้าถงได้ง่ายกว่าเดิม รองรับการทำงานหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเหล่าเกมเมอร์, คอนเทนต์ครีเอเตอร์, หรือเครื่องมือในการทำงาน ผ่อนคลายก็ทำได้หมดแล้ว และเพราะแบบนั้นทำให้ VR Headset ปัจจุบันมีเยอะมากหลายยี่ห้อ แล้วเราต้องเลือกแบบไหนถึงจะคุ้มค่าเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองเรามี VR Headset ที่ดีที่สุดประจำปี 2025 โดยพิจารณาจากประสิทธิภาพ เทคโนโลยี ความคุ้มค่า และการใช้งานจริงมาแนะนำให้ไปเลือกใช้งานกัน
สารบัญ

สิ่งสำคัญที่ควรรู้เกี่ยวกับ VR Headset ในปี 2025
1. ประเภทของ VR Headset
- Standalone VR: ไร้สาย, พกพาง่าย, ใช้งานสะดวก เหมาะกับมือใหม่ (เช่น Meta Quest 3, Pico 4 Ultra)
- PC VR: กราฟิกสูงสุด, คลังเกมใหญ่ (SteamVR) ต้องใช้ PC สเปกสูงและบางรุ่นอาจมีสาย/อุปกรณ์ภายนอก (เช่น Valve Index, Pimax Crystal Light)
- Console VR: เหมาะสำหรับเล่นเกมบนคอนโซล (เช่น PSVR 2 สำหรับ PS5)
- Mixed Reality (MR)/Spatial Computing: ผสมโลกจริงกับโลกเสมือน, เน้นทำงาน/AR (เช่น Apple Vision Pro, Meta Quest 3)
2. คุณภาพของภาพ
- ความละเอียด (Resolution): ยิ่งสูงยิ่งคมชัด, ลด Screen Door Effect (การเห็นพิกเซล) Headset ปี 2025 มักใช้จอ Micro-OLED หรือ Mini-LED ที่ให้สีดำสนิทและสีสันสดใสกว่า
- อัตรารีเฟรช (Refresh Rate): ยิ่งสูงยิ่งลื่นไหล (90Hz ขึ้นไป), ลดอาการ Motion Sickness
3. ขอบเขตการมองเห็น (Field of View – FOV)
- ยิ่งกว้างยิ่งดื่มด่ำ (100 องศาขึ้นไป), รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกเสมือนจริงมากขึ้น
4. ระบบติดตาม (Tracking)
- Inside-out Tracking: สะดวก, ไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ภายนอก (นิยมใน Standalone VR)
- Eye-tracking (ติดตามดวงตา): สำคัญสำหรับ Foveated Rendering (เรนเดอร์ภาพคมชัดเฉพาะจุดที่มอง ลดภาระ GPU) และการโต้ตอบด้วยสายตา
- Hand Tracking (ติดตามมือ): โต้ตอบด้วยมือเปล่า (เป็นธรรมชาติ, เหมาะกับ MR)
- Full-body Tracking: (เสริม) ติดตามการเคลื่อนไหวทั้งตัวเพื่อความดื่มด่ำสูงสุด
5. ความสบายในการสวมใส่ (Comfort)
- น้ำหนักและการกระจายน้ำหนัก: ต้องสมดุล, ไม่หนักด้านหน้า เพื่อการใช้งานนานๆ
- สายรัดศีรษะและส่วนรองรับใบหน้า: ปรับง่าย, ระบายอากาศดี, รองรับคนใส่แว่น
- การปรับ IPD (Interpupillary Distance): ปรับระยะห่างเลนส์ให้ตรงกับดวงตา สำคัญต่อความคมชัดและลดอาการปวดตา
6. ระบบนิเวศซอฟต์แวร์ (Software Ecosystem)
- คลังคอนเทนต์: จำนวนและความหลากหลายของเกม/แอป (Meta Quest Store, SteamVR)
- เกม Exclusive: พิจารณาว่ามีเกมที่คุณอยากเล่นหรือไม่
- UI/UX: อินเทอร์เฟซใช้งานง่าย
7. การเชื่อมต่อและแบตเตอรี่
- มีสาย vs. ไร้สาย: เลือกตามความต้องการใช้
- แบตเตอรี่ (สำหรับ Standalone): อายุการใช้งานและระบบชาร์จเร็ว สำคัญสำหรับการใช้งานต่อเนื่อง
8. ราคาและงบประมาณ
- พิจารณาค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงอุปกรณ์เสริมและเกม
VR Headsets ที่ดีที่สุดประจำปี 2025
1. Meta Quest 3

จุดเด่น Meta Quest 3
- ประสิทธิภาพ: ใช้ชิป Snapdragon XR2 Gen 2 ที่ทรงพลัง ให้กราฟิกที่ดีขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ Quest 2
- หน้าจอ: ความละเอียด 2064 x 2208 พิกเซลต่อตา, อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz, เลนส์ Pancake ทำให้ภาพคมชัดขึ้นและตัวเครื่องบางลง
- Mixed Reality (MR): กล้อง Passthrough สีคุณภาพสูง ช่วยให้มองเห็นโลกจริงและผสมผสานวัตถุเสมือนจริงได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับแอปพลิเคชัน MR และการเล่นเกมในพื้นที่จริง
- ไร้สายและพกพา: ไม่ต้องเชื่อมต่อ PC หรือคอนโซล ใช้งานง่าย ตั้งค่ารวดเร็ว
- ระบบนิเวศ: มีคลังเกมและแอปพลิเคชันขนาดใหญ่บน Meta Quest Store รองรับการเชื่อมต่อ PC VR ผ่าน Oculus Link/Air Link
ข้อสังเกต: แบตเตอรี่หมดค่อนข้างเร็ว (ประมาณ 2.5 ชั่วโมง), สายรัดศีรษะที่มากับเครื่องค่อนข้างพื้นฐาน ควรพิจารณาซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่ม
เหมาะสำหรับ: ผู้เริ่มต้น, ผู้ใช้ทั่วไป, ผู้ที่ต้องการประสบการณ์ VR แบบไร้สายที่สมดุลทั้งด้านราคาและประสิทธิภาพ, การใช้งาน Mixed Reality
ราคาโดยประมาณ: $499
สั่งซื้อได้ที่: Website Meta
2. Apple Vision Pro

จุดเด่น Apple Vision Pro
- จอแสดงผล: หน้าจอ Micro-OLED คู่ ให้ความละเอียด 4K ต่อตา (รวม 8K) ภาพคมชัดเป็นพิเศษ สีสันสดใส และดำสนิท
- ระบบควบคุม: ใช้งานด้วยการติดตามดวงตาและการควบคุมด้วยมือที่แม่นยำและเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องใช้คอนโทรลเลอร์
- Mixed Reality: ประสบการณ์ MR ที่ไร้รอยต่อและสมจริงที่สุดในตลาด ช่วยให้ทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันเสมือนจริงในพื้นที่จริงได้
- ชิปทรงพลัง: ใช้ชิป M2 และ R1 เพื่อประมวลผลภาพและข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่างๆ อย่างรวดเร็ว
- การรวมระบบ: ผสานรวมกับ Mac ได้อย่างราบรื่น สามารถใช้งานหน้าจอ Mac ขนาดใหญ่ในโลกเสมือนจริงได้
ข้อสังเกต: ราคาสูงมาก, ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการเล่นเกม VR โดยเฉพาะ, แบตเตอรี่ภายนอกและน้ำหนักที่ด้านหน้าอาจทำให้ไม่สบายเมื่อใช้งานนาน
เหมาะสำหรับ: มืออาชีพ, ผู้สร้างคอนเทนต์, ผู้ใช้งาน Apple Ecosystem ที่ต้องการประสบการณ์ Spatial Computing ระดับสูงสุด, การรับชมสื่อและทำงาน
ราคาโดยประมาณ: $3,499
สั่งซื้อได้ที่: Website Apple
3. PlayStation VR2

จุดเด่น PlayStation VR2
- จอแสดงผล: หน้าจอ OLED HDR ความละเอียด 2000 x 2040 พิกเซลต่อตา พร้อมอัตรารีเฟรช 90Hz – 120Hz ให้ภาพที่สวยงามและดำสนิท
- คุณสมบัติ immersive: มี Eye Tracking (การติดตามดวงตา), Headset Haptics (ระบบสั่นบน Headset) และ Sense Controllers พร้อมระบบสัมผัสขั้นสูง ช่วยเพิ่มความดื่มด่ำในการเล่นเกม
- การเชื่อมต่อ: เชื่อมต่อกับ PS5 ด้วยสาย USB-C เพียงเส้นเดียว ตั้งค่าได้ง่าย
- เกม Exclusive: มีเกม Exclusive คุณภาพสูงที่ออกแบบมาสำหรับ PSVR 2 โดยเฉพาะ เช่น Horizon Call of the Mountain
- รองรับ PC: ล่าสุด Sony ได้ประกาศรองรับการเชื่อมต่อกับ PC ทำให้สามารถเล่นเกม SteamVR ได้ (ต้องใช้อะแดปเตอร์เพิ่มเติม)
ข้อสังเกต: ต้องใช้ร่วมกับ PlayStation 5 เท่านั้น, คลังเกม VR ยังคงมีขนาดเล็กกว่า Meta Quest หรือ SteamVR
เหมาะสำหรับ: เจ้าของ PlayStation 5, ผู้ที่ต้องการประสบการณ์เกม VR คุณภาพสูงโดยไม่ต้องมี PC สเปกแรง
ราคาโดยประมาณ: $549
สั่งซื้อได้ที่: Website Store Sony
4. HTC Vive XR Elite

จุดเด่น HTC Vive XR Elite
- อเนกประสงค์: เป็น Headset แบบ Standalone ที่สามารถเชื่อมต่อกับ PC เพื่อเล่นเกม VR ได้ด้วย
- การออกแบบโมดูลาร์: แบตเตอรี่สามารถถอดออกได้ และสามารถเปลี่ยนจาก Headset แบบเต็มรูปแบบเป็นแว่นตาที่เบาขึ้นสำหรับการใช้งาน MR ได้
- Mixed Reality: มีกล้อง Passthrough คุณภาพดีสำหรับการใช้งาน MR
- ความละเอียด: 1920 x 1920 พิกเซลต่อตา, อัตรารีเฟรช 90Hz
ข้อสังเกต: ราคาสูงกว่า Meta Quest 3, คลังเกม Standalone อาจเล็กกว่า Meta Quest
เหมาะสำหรับ: ผู้ใช้ระดับกลางถึงสูง, องค์กรธุรกิจ, ผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการใช้งานทั้งแบบ Standalone และ PC VR, การทำงานแบบ Mixed Reality
ราคาโดยประมาณ: $1,099
สั่งซื้อได้ที่: Website VIVE
5. Valve Index

จุดเด่น Valve Index
- คอนโทรลเลอร์ Valve Index (Knuckles Controllers): เป็นจุดเด่นที่สำคัญที่สุด ด้วยการติดตามนิ้วมือแต่ละนิ้ว (Finger Tracking) ทำให้การโต้ตอบใน VR เป็นธรรมชาติอย่างเหลือเชื่อ และมีระบบสัมผัสที่หลากหลาย
- อัตรารีเฟรช 144Hz: ให้ภาพที่ลื่นไหลที่สุด ช่วยลดอาการ Motion Sickness และเพิ่มความรู้สึกสมจริงในการเคลื่อนไหว
- ขอบเขตการมองเห็น (FOV) ที่กว้าง: ด้วย FOV ที่กว้างถึง 130∘(เมื่อปรับ Eye Relief อย่างเหมาะสม) ช่วยเพิ่มความดื่มด่ำได้อย่างมากเมื่อเทียบกับ Headset ทั่วไป
- ระบบนิเวศ SteamVR: เข้าถึงคลังเกม VR ที่ใหญ่ที่สุดและหลากหลายที่สุดผ่าน SteamVR โดยตรง
ข้อสังเกต: ต้องใช้ PC สเปกสูง, เป็นแบบมีสาย, ต้องติดตั้ง Base Station ภายนอก ทำให้ setup ยุ่งยาก
เหมาะสำหรับ: เกมเมอร์ PC VR ตัวจริง, ผู้ที่ต้องการระบบติดตามที่แม่นยำและ FOV กว้าง
ราคาโดยประมาณ: $999 (Full Kit)
สั่งซื้อได้ที่: Website Steam
6. Pico 4 Ultra

จุดเด่น Pico 4 Ultra
- จอแสดงผล: ความละเอียด 2160 x 2160 พิกเซลต่อตา, เลนส์ Pancake ที่ให้ภาพคมชัดและลดขนาดเครื่อง
- ประสิทธิภาพ: ใช้ชิป Snapdragon XR2 Gen 2 พร้อม RAM 12GB (มากกว่า Quest 3 ที่มี 8GB)
- ดีไซน์: เบาและสมดุลด้วยแบตเตอรี่ที่อยู่ด้านหลังศีรษะ ทำให้สวมใส่สบายขึ้น
- รองรับ PC VR: สามารถเชื่อมต่อกับ PC เพื่อเล่นเกม SteamVR ผ่านแอป Pico Connect ได้ทั้งแบบมีสายและไร้สาย
ข้อสังเกต: คลังเกมบน Pico Store ยังมีขนาดเล็กกว่า Meta Quest, ไม่ได้จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา (ยกเว้นแพ็คเกจสำหรับองค์กร), การติดตามคอนโทรลเลอร์อาจไม่ดีเท่า Meta
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มองหาทางเลือกอื่นนอกเหนือจาก Meta Quest, ผู้ที่ต้องการ Standalone VR ที่มีสเปกดีและดีไซน์เบา
ราคาโดยประมาณ: £529 (ประมาณ $695)
สั่งซื้อได้ที่: Website PICO
7. Pimax Crystal Light

จุดเด่น Pimax Crystal Light
- ความคมชัดของภาพระดับแนวหน้า: ด้วยความละเอียด 2880×2880 พิกเซลต่อตา และเลนส์แก้ว Aspheric ทำให้ Pimax Crystal Light มอบภาพที่คมชัดเป็นพิเศษ รายละเอียดสูงมาก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเกม Simulation (เช่น Flight Sim, Racing Sim) ที่การมองเห็น Cockpit หรือสภาพแวดล้อมที่ไกลออกไปมีความสำคัญ
- คุณภาพจอ QLED พร้อม Local Dimming (ตัวเลือก): มอบสีสันที่สดใส คอนทราสต์ที่ยอดเยี่ยม และสีดำที่ลึกใกล้เคียง OLED (หากเลือกรุ่นที่มี Local Dimming)
- เลนส์แก้ว Aspheric: ให้ความคมชัดตั้งแต่กลางจอไปจนถึงขอบจอ (Edge-to-Edge Clarity) และลดความบิดเบี้ยวของภาพ
- รองรับหลาย Refresh Rate: มีตัวเลือก 60Hz, 72Hz, 90Hz, 120Hz ให้ปรับตามความเหมาะสมของประสิทธิภาพ PC และความต้องการ
ข้อสังเกต: มีขนาดใหญ่และหนัก, ต้องใช้ PC สเปกสูงมาก, ไม่มีฟังก์ชันไร้สาย
เหมาะสำหรับ: ผู้เล่นเกม Simulation (เช่น Flight Sim, Racing Sim) ที่ต้องการความคมชัดของภาพสูงสุด
ราคาโดยประมาณ: สูงกว่า $500
สั่งซื้อได้ที่: Website Pimax
8. Bigscreen Beyond

จุดเด่น Bigscreen Beyond
- ขนาดและน้ำหนัก: เป็น VR Headset ที่เล็กและเบาอย่างไม่น่าเชื่อ (หนักเพียง 127 กรัม) ออกแบบมาให้กระชับกับใบหน้าของผู้ใช้แต่ละคนโดยเฉพาะ (ต้องสแกนใบหน้า)
- จอแสดงผล: ใช้ Micro-OLED คู่ ความละเอียด 2560×2560 พิกเซลต่อตา ให้ภาพที่คมชัดเป็นพิเศษและสีดำสนิท เหมาะสำหรับการรับชมสื่อคุณภาพสูง
- ดีไซน์: ออกแบบมาเพื่อความสบายสูงสุดด้วยรูปทรงที่ปรับให้เข้ากับใบหน้าแต่ละคน ทำให้สวมใส่ได้นานโดยไม่รู้สึกอึดอัด
- โฟกัสที่ PC VR: มอบประสบการณ์ PC VR ที่ยอดเยี่ยม เหมาะสำหรับผู้ที่มีคอมพิวเตอร์สเปกสูงอยู่แล้ว
ข้อสังเกต: ราคาสูงเมื่อรวมอุปกรณ์เสริม (ต้องซื้อ Base Station และคอนโทรลเลอร์ Valve Index เพิ่ม), เป็นแบบมีสายเท่านั้น, ต้องสแกนใบหน้าเพื่อสั่งทำ Pad ยึดใบหน้าเฉพาะบุคคล, ไม่ใช่ Headset แบบ Standalone
เหมาะสำหรับ: เกมเมอร์ PC VR ที่ต้องการ Headset ที่เล็กที่สุด เบาที่สุด และให้ภาพคมชัดระดับสูง, ผู้ที่ใช้งาน VR สำหรับการรับชมภาพยนตร์หรือประสบการณ์ Cinematic
ราคาโดยประมาณ: $999 (ไม่รวม Base Station และคอนโทรลเลอร์)
สั่งซื้อได้ที่: Website Bigscreenvr
9. Shiftall MeganeX superlight

จุดเด่น Shiftall MeganeX superlight
- น้ำหนักเบามาก: เป็นหนึ่งใน PC VR Headset ที่เบาที่สุดในตลาด (ประมาณ 230 กรัม) ช่วยลดความเมื่อยล้าในการใช้งานเป็นเวลานาน
- จอ Micro-OLED: ใช้จอ Micro-OLED ความละเอียด 2560×2560 พิกเซลต่อตา พร้อมอัตรารีเฟรช 120Hz ให้ภาพที่คมชัดและสีสันสดใส
- ขนาดกะทัดรัด: ดีไซน์ที่เล็กและพกพาง่าย คล้ายแว่นตา ทำให้ไม่รู้สึกเทอะทะ
- ลำโพงแบบ Bone Conduction: มีลำโพงแบบ Bone Conduction (ส่งเสียงผ่านกระดูก) ในตัว ทำให้ได้ยินเสียงรอบข้างได้พร้อมกับเสียงใน VR
ข้อสังเกต: ราคาสูง, ต้องใช้ PC สเปกสูง, ไม่มีระบบติดตามในตัว ต้องใช้ร่วมกับ SteamVR Base Station, ยังไม่รองรับการติดตามดวงตา (Eye-tracking)
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการ Headset PC VR ที่เน้นความสบายสูงสุดจากการมีน้ำหนักเบา, ผู้ที่ต้องการจอ Micro-OLED คุณภาพสูงในดีไซน์ที่กะทัดรัด
ราคาโดยประมาณ: ประมาณ $1,699
สั่งซื้อได้ที่: Website Shiftall
10. Samsung XR Headset (Project Moohan)

จุดเด่น Samsung XR Headset
- ความร่วมมือ: เป็นผลงานจากความร่วมมือระหว่าง Samsung (ฮาร์ดแวร์), Google (แพลตฟอร์ม Android XR) และ Qualcomm (ชิปเซ็ต Snapdragon XR2+) ทำให้คาดว่าจะมีการผสานรวมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่แข็งแกร่ง
- Android XR: จะเป็น Headset ตัวแรกที่ใช้แพลตฟอร์ม Android XR ของ Google ซึ่งอาจนำไปสู่ระบบนิเวศแอปพลิเคชันที่กว้างขวางและคุ้นเคย
- AI Integration: คาดว่าจะมีการผสานรวม Gemini AI ของ Google เข้ามาอย่างลึกซึ้ง เพื่อประสบการณ์ที่ชาญฉลาดและเป็นส่วนตัวมากขึ้น
- Mixed Reality: มีแนวโน้มที่จะเน้นฟังก์ชัน Mixed Reality อย่างจริงจัง เพื่อแข่งขันกับ Meta Quest และ Apple Vision Pro
- การออกแบบ: คาดว่าจะเน้นการออกแบบที่ทันสมัยและสะดวกสบายตามสไตล์ของ Samsung
ข้อสังเกต: ยังเป็นเพียงข่าวลือและข้อมูลจำเพาะอย่างเป็นทางการยังไม่ได้รับการเปิดเผย, ต้องรอการเปิดตัวจริงเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและราคา
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มองหา VR/MR Headset จากแบรนด์ Android ที่มีชื่อเสียง, ผู้ที่สนใจนวัตกรรมจากความร่วมมือระหว่าง Samsung, Google และ Qualcomm
ราคาโดยประมาณ: ยังไม่มีการประกาศ (คาดการณ์ว่าจะอยู่ในช่วงพรีเมียม แต่เข้าถึงง่ายกว่า Apple Vision Pro)
สั่งซื้อได้ที่: ยังไม่วางจำหน่าย
ไม่ว่าจะเป็นเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ หรือมือโปรที่มองหาเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ใน ปี 2025 ก็มี VR Headsets หลากหลายรุ่นที่ตอบโจทย์ได้ครบทั้งคุณภาพของภาพ ความลื่นไหล เราก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยเลือกอุปกรณ์ VR ดี ๆ สักเครื่องที่จะช่วยให้สิ่งที่เพื่อนวางแผนจะทำง่ายขึ้นไปอีกขั้นนะ

